วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Attending a very 1st wedding in Brazil













ที่ห่างหายไปนาน ไม่ใช่อะไร แต่หมดมุกจะเขียน เพราะไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นมาให้เล่าเท่าไหร่ แต่หนนี้ กลับมาอีกครั้ง เพราะเพิ่งไปสนุกสุดเหวี่ยงในงานแต่งงาน ของเพื่อนสนิทกาเบรี ยลมา งานนี้ไม่ไปไม่ได้ เนื่องจากกาเบรียล เป็นคิวปิ้ด แนะนำคนทั้ง 2 ให้รู้จักกัน :) ... เหตุเกิด ณ ริโอ เดอ จาเนโร

งานเริ่มประมาณ 4ทุ่ม บ่าวสาวก็เดินเข้างานมา และประกอบพิธีทางศาสนา แอบได้ยินมาแว่วๆ ว่าค่าหัวแขกที่มาในงาน คนละ 300R$ ถ้าเป็นที่เมืองไทย คงจัดที่รร. 5ดาว แถมอาหารบัฟเฟห์ ไฮโซแบบไม่อั้น แต่... ที่นี่บราซิลค่ะ ฮะๆๆ อาหารบัฟเฟห์มีอยู่ 5 อย่าง.. ประกอบไปด้วย ข้าว/สลัด/เนื้อ/ปลา/มันฝรั่ง

เพิ่งรู้ว่างานแต่งงานที่นี้ เค้าไม่ได้เน้นอาหารเยอะ แต่เค้าเน้นจัดงานสวย ขอบอกว่าโต๊ะอาหารจัดสวยจริงๆ รวมทั้งดอกไม้ และโคมไฟแชนเดอเลีย ที่ห้อยระย้าอยู่ในงาน สวยเริ่ด สมราคา ก็แปลกไปอีกแบบ

ส่วนมุมขนมนั้น... ขอเม้าท์หนักๆ เลย คือมีโซนขนมหวานแยกไปอีกทาง เป็นโต๊ะยาวๆ และมีช็อกโกแล็ต จัดวางสวยงาม เป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันไป ตรงมุมห้องทั้ง 2มุม มีโต๊ะกาแฟพร้อมเค้กอันเล็กๆ หลายร้อยชิ้นมุมนึง และอีกมุมนึงเป็นถุงกระดาษสีทอง พร้อมขนมคัพเค้กอันเล็กๆ อยู่ข้างใน 1อัน

งานยังไม่ทันเข้าครึ่งคืน เพื่อนกาเบรียลคนนึง เดินหิ้วถุงสีทองมา 1ถุง และบอกว่า เออ.. รีบๆ ไปเอาขนมนะ ตอนนี้ขนมจะหมดแล้ว.. เราได้ยินดังนั้น เลยเดินไปดู O.o" สิ่งที่เห็นคือ โต๊ะยาวๆ ที่เราเห็นช็อกโกแล็ตเรียงรายอยู่เมื่อ ชม.ที่แล้ว ตอนนี้ เหลือช็อกโกแล็ต ไม่ถึง 20ชิ้น และที่วางขนมโลงๆ ทั้งโต๊ โอ้ววววววว

และภาพต่อมาที่เห็นคือ สาวๆ ทั้งหลายเปิดถุงสีทอง และหยิบขนมเค้กอันเล็กๆ ที่เหลืออยู่บนโต๊ะกาแฟใส่ถุง กันลงไป 5-6ชิ้น แทบจะปิดถุงไม่ลง ฮะๆๆ อะไรกันนี่ โอว.... เห็นแล้ว อึ้ง มองหน้ากับกาเบรียล... อยากจะหัวเราะ แต่ก็ไม่ไดทำ เลยหยิบขนมมาลองกินชิ้นนึง.. "อืม ไม่ค่อยอร่อยเลยอ่ะกาเบรียล แต่เอาไปฝากคุณยายละกัน" เราเลยหยิบมา 4อัน พร้อมกับเดินออกมา

คนที่นี่นี่เค้าก็ชอบของฟรี เหมือนคนไทยเนอะ... แต่มันน่าเกลียดไปปะ แบบว่า หยิบกันไม่นึกถึงคนอื่นบ้าง... ตลกดีอ่ะ ฮะๆๆ กาเบรียลบอกว่า น่าจะมีพนักงานสักคนคอยบอกว่า "กรุณาอย่าหยิบใส่ถุง แต่หยิบไปทานได้" ฮะๆๆ :D

ผ่านเรื่องของหวานโดนกวาดจนเกลี้ยง เราเลี่ยงมาที่ฟลอร์เต้นรำกันบ้าง เรากับเพื่อนๆ กาเบรียลก็ออกไปเต้นกัน แบบ non-stop เป็นเวลานานเอาเรื่อง เออ.. เริ่มไม่ไหวละ รองเท้าก็ 2-3นิ้ว เลยบอกกาเบรียลว่าไปนั่งเหอะ พอกำลังจะจูงมือกันไปนั่ง ก็มีพนักงานถือกระจาดมา 2คน พร้อมรองเท้าแตะอยู่เต็มกระจาด อ้อ... อย่างนี้นี่เอง!!

ว่าแล้วสาวๆ บนฟลอร์ทั้งหลายก็หยิบรองเท้าแตะมากันคนละคู่ เดินกลับไปที่โต๊ จัดแจงใส่รองเท้าแตะ แล้วเอาส้นสูงใส่ถุงผ้าไปแทน มะ!! เต้นต่อกันได้ทั้งคืน :D งานเลี้ยงที่นี้ ส่วนใหญ่เค้าจะแจกรองเท้าแตะกันทั้งนั้น เออ ไอเดียดีนะ แต่ท่าทาง cost จะบานปลาย ฮะๆๆ

เต้นไปเต้นมาสักพัก ถึงคราวเจ้าสาวโยนดอกไม้ จากนั้นเจ้าสาววิ่งหายไป เพลงแดนซ์ และฮิพฮอพ กลายเป็นเพลงแซมบ้า และเจ้าสาวพร้อมขบวนกลอง ก็โยกย้ายส่ายสะโพก และซอยเท้ายิกๆ เข้ามา!! ไอเรานี่ก็ใส่ร้องเท้าแตะแล้วไง พยามจะแซมบ้ากับเค้าแต่เท้ามันหนืดๆ ขยับไม่คล่องเหมือสาวบราซิลเลี่ยนเลย... สรุปถอดใจกลับมานั่งที่โซฟาเหมือนเดิม :D

นั่งไปสักพัก รู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆ มองนาฬิกาอีกที เฮ้ย!!!!!! ตึ 3ครึ่งแล้ว มิน่า.. ทำไมง่วงจังเนี่ย กว่าจะรวมตัวลากเพื่อนๆ ออกมาจากงาน และร่ำลา บ่าวสาวได้ ปาเข้าไปตี 4 - -" กลับถึงบ้าน ตี4กว่าๆ รวบรวมสติ อาบน้ำ แปรงฟัน เข้านอน โอว... เกือบตีห้า นี่ดีนะเนี่ย ดื่ม แชมเปญไปนิดหน่อย นี่ถ้าดื่มหนักๆ เหมือนเพื่อนคนอื่น.. ไม่อยากจะคิดว่าจะมีสภาพไหน ฮะๆๆ

วันรุ่งขึ้น กาเบรียลกับเราตื่นมา 9โมงครึ่ง เพราะแม่จะมารับตอน 10โมง งัวเงีย มาล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนชุด กินกาแฟ แบบเบลอๆ ไปเยี่ยมคุณตา คุณยาย แล้วแม่กาเบรียลก็ไปส่งที่สนามบิน นั่งรอเครื่องกันแบบเงียบๆ ตาบวมๆ ฮะๆๆ ทริปนี้ สนุกดี แต่เพลียไปนิด ยังดีที่เลิกดื่มแล้ว ไม่งั้นคงพ่วงอาการแฮ้งค์มาด้วย :)

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรียนกันน้อยไปมั๊ย??

การศึกษาในประเทศบราซิล ท่าทางจะไม่ใช่ความสำคัญต้นๆ ของประเทศนี้ เด็กๆ ไปโรงเรียนแค่ครึ่งวัน โดยมีสิทธิ์เลือกว่า จะเรียนช่วงเช้า หรือช่วงบ่าย.. มิน่าล่ะ พอตกบ่าย เด็กๆ มัธยมนี่ เดินสวย เดินหล่อ make out กันเต็มถนน เต็มพาร์ค เต็มห้างไปหมด อยากจะถาม... ครึ่งวันนี่ หนูเรียนอะไรกันมั่งคะ -*-

ส่วนเรื่องเงินเดือนคุณครูนี่ไม่ต้องพูดถึง อาทิตย์ก่อนดูข่าว คุณครูออกมาประท้วงว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้น้อยเกินไป ทางรัฐบาลก็ออกมาแถลง บอกว่าจะขึ้นค่าแรงให้จาก เดือนละประมาณ 850R$ (17,000 THB) เป็น 855R$ O.o" มันช่างแตกต่างกันมากเลยนะคะ..... ข้าวจานนึงก็ 15R$ เข้าไปแล้ว คุณครูอยู่กันพอได้ยังไงเนี่ย... เฮ้ออ

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องแปลกๆ ที่อยากเล่า

เคยขึ้นรถเมล์ก็หลายครั้งและ นั่งรถส่วนตัวแล้วเจอก็หลายหน แต่ไม่เคยเล่าเรื่องขายของให้เพื่อนๆ ฟังสักที วันนี้ขึ้นอีกรอบ นึกได้ เลยมาเขียนซะก่อนจะลืม

ที่นี่เค้าอนุญาติให้แม่ค้า พ่อค้า ขึ้นมาขายของบนรถเมล์ด้วย ประมาณว่าขึ้นป้ายนี้ ไปลงอีก 2ป้ายถัดไป ฮะๆๆ เวลาเค้าขาย ก็จะเดินมาวางไว้บนตักผู้โดยสารเลย เดินไป ก็พูดไป ว่าของนี้คืออะไร ราคาเท่าไหร่ ซึ่งส่วนมากจะเป็นของกิน แล้วก็มี MP3 บ้าง ขาพี่แกเค้าเดินกลับมาเก็บของไปจากตัก ใครซื้อก็เตรียมเงินไว้ แล้วก็จ่ายเงินเค้าไป ใครไม่สนใจก็คืนของเค้า เออ.. แปลกดีว่ะ ไม่เคยเห็น :D

ขายตามแยกก็มีนะ แบบ รถติดไฟแดง พ่อค้า แม่ค้า ก็จะเดินไล่มาตั้งแต่รถคันแรก แล้วพาด หรือวางของไว้ตรงกระจกมองหลัง หรือ หน้ารถ แล้วก็เหมือนบนรถเมล์ เค้าจะเดินกลับมาเก็บของไปเอง ใครซื้อก็เตรียมเงินไว้ เราเคยคิดเหมือนกันนะ ถ้ารถมันไฟเขียวก่อนเค้าเดินมาเก็บของกลับไป แล้วทำไงวะ ฮะๆๆ เออ ดี.. ได้มาเลยฟรีๆ :D

ล่าสุดนี่คุยกับญาติกาเบรียล เรื่องเรียนมหาวิทยาลัย เพิ่งรู้มหาวิทยาลัยเอกชนที่นี่ เค้าจ่ายค่าเรียนทุกเดือน ไม่ได้จ่ายเป็นเทอม โห.... มหาวิทยาลัยรวยเลยมั๊ยเนี่ย อาจารย์คงเงินเดือนโขอยู่ >.< เดือนละ 1,500 - 2,000 R$ (30,000 - 40,000 THB) O.o" ไม่ไหวมั๊ง.... พ่อแม่ต้องทำงานอะไร ถึงส่งลูกเรียนได้เนี่ย งงเลย.. ประเทศไหน ต้องจ่ายแบบนี้มั่งเนี่ย อยากรู้..

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผู้ชายบราซิลเลี่ยน...

ในที่นี่ ไม่ข้อรวมสามีตัวเองเข้าไปนะเพื่อนๆ เพราะกาเบรียลต่างกับผู้ชายบราซิลเลี่ยนมากกกกกกกกกกกกกกกกกก มากจริงๆ เทียบไม่ได้เลย แบบคนละเรื่อง ฮะๆๆ คนที่เคยเจอกาเบรียลจะรู้ว่า.. กาเบรียลไม่ดูบอล ไม่ดื่ม ไม่ปาร์ตี้ ไม่ทำอะไรเลย ที่จริงๆแล้ว ควรจะต้องทำ ฮะๆๆ

ยังไงก็แล้วแต่ ผู้ชายบราซิลเลี่ยนที่เราจะพูดถึง (ก่อนจะลืมซะก่อน) คือผู้ชายทั่วไป ที่เราไปเดิน ผ่าน พบ และเจอมา ช่วงปีใหม่ที่ Rio de Janeiro เนื่องจากเราอยู่ Rio ต่อกับญาติๆ กาเบรียล อีก 1อาทิตย์หลังปีใหม่ แต่กาเบรียลต้องกลับไป Sao Paulo เพราะต้องทำงาน เรื่องมันเลยเป็นดังต่อไปนี้ :D

คืนวันศุกร์ ต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา เราได้ไปเที่ยวกับญาติๆ กาเบรียล ที่จริงไม่รู้หรอก ว่าเค้าจะไปไหนกัน เค้าชวนไป เราก็ไปทั้งนั้นแหละ รู้แต่ว่าไปเที่ยวกลางคืน เออ..ไปๆ อยากไป ขอข้ามที่อื่นของคืนนั้นไปเลยนะ ขอเล่าที่เกิดเหตุเลย ฮะๆๆ สถานที่ที่ไปชื่อ Lapa เป็นแหล่งดื่ม ที่มีชื่อเสียงใน Rio

ที่นี้ (นึกภาพตามนะ) จะเป็นถนนที่มีผับ และร้านขายเบียร์ อยู่ด้านขวา ส่วนด้านซ้าย จะเป็นกำแพงพร้อมฟุตบาท คิดว่าขนาดถนน พอกับข้าวสาร บ้านเรานี่แหละ แต่โอว..... คนเยอะมากกกกกกกก ดิฉันเดินไป เอียงซ้ายที ขวาที หลบเลี่ยงหน้าอก (อันน้อยนิด) ไม่ให้ใครมาชน ฮะๆๆๆ เราพยายาม เดินให้ทันญาติๆ กาเบรียล แบบ เดินตามติดมาก อารมณ (เอากฉันไปด้วย อย่าทิ้งฉันไว้ข้างหลัง) คือคนเยอะมากนะ กลัวหลงอย่างแรง

เดินๆไป "หมับ" เฮ้ย ผู้ชายจับมือ พร้อมพูดว่า "Jepaonesa?" เฮ้ย... นี่ถามสัญชาติกันประชิดขนาดนี้เลย.. เราไม่ตอบ พร้อมดึงมือออก แล้วรีบเดินไปเกาะแขน ราเคล... ราเคลถาม" มะขาม ยูโอเคป่าว"... "ไม่โอเคว่ะราเคล กลัว" ~.~ ฮะๆๆ กลัวจริงนะ

นั่นแค่คนแรก คนต่อมา... เดินไปอีกหน่อย เดินมามองหน้า "Oi Linda" อันนี้พอสู้ไหว.. หันไปทางอื่นแล้วรีบเดินหนี คนต่อ สงสัยจะได้ยินเราพูดอังกฤษ มองตาเยิ้ม พอๆ กะไอคนที่สองนี่แหละ แต่ส่งภาษาอังกฤษมาเว้ย "How are you?" ไม่เท่าไหร่ เดินหนีไป ทำไมสนใจก็พอ

ไอคนสุดท้ายนี่ดิ... อะไรมันจะถึงเนื้อ ถึงตัวขนาดนี้ -*- คว้าแขนเลยค่าาาา ไอเราก็หยุดดิ ใครมาจับแขนวะ ยังไม่พอ ไม่พูดอะไรด้วยนะ ยิ้มให้ มองหน้า ไอเราคิด "เฮ้ย!! ทำไรเนี่ย" ไอเราตะโกน "ราเคล!!!!" ราเคลหันมา ส่งภาษาถิ่นที่เราฟังไม่รู้เรื่องอ่ะ พร้อมกับดึงแขนเราอีกข้างไป... พร้อมกับบอกว่า "มะขาม มาใกล้ๆ ไปเดินข้างหน้าฉันเลย" ไอเราอยากรู้ ก็ถามไป "คนเมื่อกี๊เค้าจับแขนฉันทำไมอ่ะ น่ากลัวมากก" ราเคลบอก "เค้าเห็นเธอหน้าตาไม่เข้าพวก เค้าแค่อยากจูบนะ" O.o" นี่..... มึงชอบผู้หญิง แล้วมึงกะดึงมาจูบกันเลยหรอวะ โห........ มากไปนะ กลัวอ่ะ ราเคลบอก "ไม่ต้องกลัว สะบัดแขนไปเลย ไม่ต้องสนใจ" ไอเราคิดในใจ ((ผู้ชายที่นี่นี่ ถึงเนื้อถึงตัวจริงๆ มากไปป่าววะ Approach แบบประชิดตัวมากอ่ะ))


กลับบ้านมา เล่าให้กาเบรียลฟัง กาเบรียลหัวเราะ ซะงั้น... น่ากลัวมากอ่ะ ผู้ชายที่นี่ ที่เราไปเจอมานี่ local ของจริงอ่ะ แบบวัยรุ่น Rio ต้องไปทุกคืน ศุกร์-เสาร์ บอกกาเบรียล ดีนะเนี่ย ญาติเธอดูแลฉันดี ฮะๆๆ จริงๆนะ มีกัน 3-4 ทุกคนแบบ "มะขาม อยู่ไหน" ทุกๆ 5เมตร แบบ... "ยูมาเดินใกล้ๆ" มีคนนึงเดินข้างหลังเราแบบ "ยูเดินไปก่อนเลย เดี๋ยวไอปิดท้าย" เฮ้อออ สนุกดีนะ แต่กลัวจริง ^^'

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บราซิลมีอะไร ที่ไทยไม่มี

ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่บราซิลมี และไทยไม่มี ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม และการใช้ชีวิต เพราะอาหารการกิน และแฟชั่น ก็คล้ายๆ กัน อย่างแรก แอบมี cultural chock กับการแต่งตัว โดยเฉพาะคุณผู้หญิงบราซิลเลี่ยน เสื้อตัวจิ๋ว รัดรูป บางทีเปิดหลัง บางทีเปิดไหล่ บางทีเว้าคอ และกางเกงยีนส์ ที่รัดจนเห็นพุงเป็นชั้นๆ บวกกับรองเท้าส้นสูงปรี๊ดดด (คิดในใจ... มันสวยหรอวะเนี่ย เพราะเรามองยังไง มันก็ไม่สวย) ยัง ยังไม่หมด..

ชุดทำงานของสาวๆที่นี่ จะทีทั้ง pant suit และ dress เก๋ๆ หรือเสื้อแบบต่างๆ กับ กางเกงยีนส์ แต่ชุดทุกแบบที่ว่ามา เป็นขนาดเล็ก และพอดีไป รัดอก รัดสะโพก รัดก้น กันทุกชุด ฮะๆๆ ไอเรารึ ก็ตื่นตาตื่นใจ มองสาวๆ ที่นี่เพลินไปเลยทีเดียว... ที่ไทย ชุดทำงานที่โชว์สัดส่วนได้ ตามอำเภอใจนี่ไม่มีนะ หรือถ้ามี... อันนี้ ละไว้ว่าจะเป็นงานอะไร แบบไหน แล้วแต่จะคิด แต่ส่วนมาก คือต้องไม่โป๊ ไม่รัดมาก สรุป อันนี้บราซิลมี ไทยไม่มี

อย่างต่อไป คือ รายการ TV ที่นี่ จะมีช่อง Multishow แอบคล้ายๆ MTV นะ เพราะมีรายการเพลง และเปิด MV แต่พอตกหลังเที่ยงคืน... โอว.... กลายเป็น adults program ซะงั้น มีตั้งแต่สาวๆ มาสตริปโชว์ คลอๆเพลงไป ต่อจากนั้น เปลี่ยนรายการ เป็น สวิงกิ้ง.. โฟร์ซัม.. ละครแบบได้เสียกันทั้งเรื่อง.. เอ็กโซติก เซ็กซ์ อันนี้แรกๆ เปิดเจอไม่ได้ตั้งใจ หลังๆ ตั้งใจนะ ฮะๆๆๆ อยากรู้ ดูไป ขำไป ทำหน้าตกใจไปบ้าง แล้วแต่ว่าเค้าเอาอะไรมาโชว์ อันนี้บราซิลมี ไทยไม่มี :D

อย่างต่อไป อันนี้ชัดเจน คือ bikini ตัวจิ๋ว คนที่นี่ชอบ ทะเล เป็นชีวิตจิตใจ
ทั้งอาบแดด โต้คลื่น วอลเลย์ชายหาด และฟุตบอลชายหาด เราก็ cultural chock เหมือนกัน เพราะหุ่นสาวที่นี่แต่ละคน สะบิ้ม อึ๋ม เด้งกันทั้งนั้น นึกภาพ เด็กอายุ 15 แต่หุ่นเท่าคน 25 O.o" ไอเรามาอยู่ที่นี่ กลายเป็นต้องใส่ ไซส์ P และ M (P=Pequeno=เล็ก, M= Medium=กลาง) แอบดีใจนะ ฮะๆๆ กลายเป็นคนตัวเล็กไปเลย


สาวที่นี่ ใส่ bikini ตัวเล็กม้ากกกกกกกกกกก ท่อนบน เป็นชุดทรงสามเหลี่ยมปิดสองข้าง ด้านล้าง เป็นกางเกงแบบ ปิดครึ่งก้น แบบทีแบ็ค และแบบเส้นเล็กๆที่เราเรียนจีสตริง โอว.... เห็นก้นสาวๆ เต็มๆกันไปเลย ไอเราก็มีได้แต่แบบที่ใหญ่ที่สุด คือแบบปิดครึ่งก้น แบบอื่นๆ ไม่ไหวนะคะ -*- ส่วนหนุ่มๆที่นี่ เค้าก็ไม่สนใจสาวๆช่วงบนสักเท่าไหร่ ที่เค้าจะไปชื่นชม ชอบมองกัน จะเป็น ก้นอันงามงอนมากกว่า มองกันแบบ ไม่เกรงใจ มองจริงๆ ฮะๆๆ และก้นสาวๆที่นี่ ก็ไซส์ J-Lo กันทั้งนั้น... ไทยไม่มี บราซิลมี

เรื่องสุดท้าย วัฒนธรรมการจูบ คือที่จริงเราเตรียมใจมาแล้วนะ เพราะเคยไปต่างประเทศมาบ้างแบบ แฟนกัน สามีภรรยากัน เค้าก็ จูบกันในที่สาธารณะ แบบ คิส จุ๊บๆ เราก็ทำนะ ที่ไทยก็ทำ ฮะๆๆ แต่ที่ตกใจคือ ที่นี่ จูบกันแบบ french kiss เดินๆ อยู่ หยุดยืนจูบกันดูดดื่ม แบบ ไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือตามสวนสาธารณะ หรือ เก้าอี้ในห้างสรรพสินค้า ก็นั่งตักกัน แล้วจูบบบบบ กันเป็นนานสองนาน แถมลูบๆ คลำๆ ไปด้วย ฮะๆๆ เออ... ช็อคนะ อันนี้ ไทยไม่มีนะ บราซิลมี!


สามีเราดีหน่อย เนื่องจากรักเมืองไทย เคยอยู่ไทย และนับถือพุทธ ตอนเป็นแฟนกัน อยู่เมืองไทย ก็เดินกอด จับมือ มีคิสบ้าง แต่แล้วแต่สถานที่ ไม่ทำตามอำเภอใจ พอมาอยู่บราซิล คุณสามีเปลี่ยนโหมด ฮะๆๆ มี french kiss บ้าง เราแอบตกใจ แต่ก็ตามน้ำ (แต่งงานแล้วเว้ย) แต่ก็แอบเขินๆ คนรอบข้างอยู่ดี (ที่จริงไม่มีใครสนใจอ่ะ ฮะๆๆ) แต่ไม่ชินจริงๆ คงอีกพักใหญ่ๆ :D

ที่จริงสิ่งที่ บราซิล และไทย มีไม่เหมือนกัน คงมีอีก แต่เราว่ามันไม่สนุกถ้าจะเอามาเขียนบล็อค เอาแบบ ที่คนอ่านชอบอ่านดีกว่านะ ขำๆ เรากำลังคิดว่า ปีหน้าจะพาแม่มาเที่ยว แม่จะ cultural chock ไปด้วยอีกคนมั๊ยเนี่ย นึกแล้วตื่นเต้น ฮะๆๆ

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คุณสามีไปยุโรป


เมื่อกลางเดือนมิถุนายน กาเบรียลต้องเดินทางไปประชุมที่ยุโรป เป็นเวลา 2อาทิตย์ ตอนแรกที่รู้แอบโศกเศร้า และนอย ที่ต้องไม่ได้เจอกัน 2อาทิตย์ แต่มาคิดอีกที นี่มันก็เป็นนาทีทองของเราในการสั่งซื้อของนี่นา ฮะๆๆ เมื่อคิดได้เช่นนี้ เราจึงใช้เวลาก่อนวันที่กาเบรียลจะเดินทาง นั่งคิดว่าอย่างได้อะไรบ้าง :D

สถานีแรก ลอนดอน ณ ประเทศอังกฤษ เราคิดแต่ว่า ผู้ชายกับการซื้อของ มันไม่ค่อยจะไปด้วยกันเท่าไหร่ โดยเฉพาะ เครื่องสำอาง สิ่งที่เราคิดได้ (และทำได้ด้วย) ก็คือ ซื้อของออนไลน์ จ่ายบัตรเครดิต แล้วสั่งให้เค้าไปส่งให้ที่ ที่อยู่เพื่อนในลอนดอนเลย เออ.. ง่ายดี และสามีไม่หงุดหงิดด้วย เราจึงเข้าไปที่เว็บไซด์ร้าน Boots ใช่แล้ว ร้าน Boots ที่บ้านเราก็มีนั่นแหละ แต่ของในร้านมันต่างกันเยอะ

สิ่งที่ได้มาจากร้าน Boots คือ เครื่องสำอาง และครีมบำรุงผิว Brand UK นั่นคือ Barry M, Rimmel London และ Burt's Bees ซึ่งไม่แพง แต่คุณภาพดี เพิ่งรู้ ว่าซื้อของออนไลน์นี่ มันต้องใช้ทักษะเหมือนกันนะ เพราะสีในจอคอมพิวเตอร์ กับสีจริง มันจะไม่เหมือนกัน และทักษะที่เราใช้ในการเลือกเครื่องสำอางก็คือ ดูชื่อสี และเดา ฮะๆๆ เช่น สี Peach ก็จะออกชมพูอมส้ม หรือ สี Autumn ก็จะเป็นสี earth tone เพราะ Autumn มันคือ ฤดูใบไม้ร่วง พูดง่ายๆ นึกภาพไปเลย ว่าใบไม้มันเหี่ยว ก็จะออกสีน้ำตาล หรือส้ม นั่นแหละ สี่แบบ Autumn เออ... ไปรอดเว้ยเรา

สถานีต่อไป คือ เจเนวา และ ซูริค ประทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่นี่ คิดออกแค่ chocolate กับ นาฬิกาข้อมือ แต่เนื่องจาก เราไม่ใส่นาฬิกาข้อมือ ก็เหลือแค่ chocolate อันนี้ บอกไปแค่ว่าไม่ชอบกินขมมาก ซื้ออะไรก็ซื้อมาเลย ตามใจ พอบอกว่าตามใจ คุณสามีก็โล่งอก ฮะๆๆ

สถานีสุดท้ายก่อนกลับบ้านคือ ปารีส ประเทศฝรั่งเศส เนื่องจากเราใช้ของแพง อยู่อย่างเดียว คือครีมทารอบดวงตา พูดง่ายๆ หน้าไม่ห่วง แต่ห่วงตาเหี่ยว คล้ำ ดำ เป็นบ่อ ฮะๆๆ ครีมที่เราใช้อยู่ คือ Clinique all about eye เราซื้อจากเมืองไทยก็ ราวๆ 1,400 THB แต่ที่บราซิลนี่ ไปดูมา โอแม่เจ้า 170R$ = 3,400 THB จึงไม่สามารถทำใจซื้อได้ ดังนั้นบอกกาเบรียลไปว่า เอาครีมยี่ห้อนี้ รุ่นนี้ (พร้อมแนบรูปถ่ายไปใน email)

ณ ร้าน Clinique ในเมืองปารีส
Gabriel: I'm looking for Clinique all about eye cream
Staff: For yourself? (พนักงานถามด้วยเสียงสูง และดวงตาเบิกกว้าง) ฮะๆๆ อันนี้ กาเบรียลเล่าให้ฟัง
Gabriel: Noooo (ลากเสียงยาว และสูง) for my wife!

เมื่อเข้าใจตรงกันแล้ว ว่าจะซื้อให้ภรรยา ไม่ได้ใช้เอง she ก็บอกว่า มีทั้งหมด 3ตัว ที่ใช้ทารอบดวงตา ไอเรารึก็ส่งรูปไปให้ดูแล้ว แต่สิ่งที่ได้กลับมา คือ คุณสามีซื้อมาทั้ง 3แบบ -*- แล้วมาบอกเราว่า ไม่รู้ว่าอันไหน เลยซื้อมาหมดเลย ฮะๆๆ เออ.... ได้ใช้ทั้งปี กันทีเดียว :)

สิ่งสุดท้าย ที่ไม่ได้สั่งซื้อ เพราะรู้ว่าไม่ได้ไป อเมริกา คือ Victoria's Secret แต่คุณสามีก็ยังใจดี ซื้อจาก แอร์พอร์ตที่เซาเปาโล ซึ่งแพงกว่าเท่านึง (ก็ถูกกว่ามาซื้อตามร้านในบราซิลอยู่ดี) ซื้อ lotion มาให้ 7 ขวด... เออ... เรามีร่างเดียว จะใช้ไงหมดเนี่ย ดมแล้วดมอีก (เริ่มมึน เพราะกลิ่นคล้ายกัน) ก็เลยเก็บไว้เอง 3ขวด ให้แม่สามีไป 2 และฝากกลับไปให้มะเหมี่ยว กับแม่เราเอง คนละขวด :)


ที่จริง 2อาทิตย์นี่มันก็ผ่านไปเร็วนะ ขนาดไม่ค่อยมีอะไรทำ แต่ก็นั่งๆ นอนๆ ไปเที่ยวกับญาติบ้าง เพื่อนบ้าง แป็ปเดียว เวลาก็หมดแล้ว ที่จริงเคยห่างกันมากกว่านี้ นานสุดนี่ 9เดือน แต่จะต่างไปก็ตรงที่ ตอนนั้นเราอยู่เมืองไทย ยังไงๆ ก็มีครอบครัว มีเพื่อน ไปไหน มาไหน ตลอดเวลา ไม่ได้เหงาเลย แต่ที่นี่ ตัวคนเดียว ในประเทศอื่น ครอบครัว และเพื่อนมีก็จริง แต่ความรู้สึก และกิจกรรม มันต่างกัน :)




วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ครึ่งปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก

ไม่อยากเชื่อ ว่าเรามาอยู่บราซิลครบ 6 เดือนแล้ว เวลามันช่างผ่านไปเร็วเสียจริงๆ ตอนแรกคิดว่าอยู่บ้านว่างๆ ไม่ค่อยมีอะไรทำ จะทำให้เวลาเดินช้า แต่จริงๆ แล้ว วันๆ นึงหมดไปเร็วมาก

ตอนนี้ภาษาเราเริ่มพัฒนาจาก 0 กลายเป็น 3 ฮะๆๆ ไม่ได้ต่างจาก 0 สักเท่าไหร่ แต่พนักงานร้านขายของที่จำเราได้ตั้งแต่ตอนมาใหม่ๆ บอกว่า "ฉันจำเธอได้ ครั้งแรกที่เธอมาร้านฉัน เธอพูดไม่ได้เลย แต่ตอนนี้พูดได้แล้ว" พอเราได้ยิน ก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เออ.. เราพัฒนาแฮะ ถึงจะช้าๆ แต่ก็ดีกว่าพูดไม่ได้เลย

ภาษาบราซิลเลี่ยน โปรตุกีสนั้น ต่างจาก ภาษาโปรตุกีส แท้ๆ อยู่มากทีเดียว กาเบรียลบอกว่า ภาษาโปรตุกีสแท้ๆ พูดยาก ฟังยากกว่านี้มาก ไอเราคิดในใจ "ตายหละ... ขนาดบราซิลเลี่ยน โปรตุกีส ยังยากขนาดนี้ แล้วภาษาโปรตุกีสแท้ๆ มันจะขนาดไหนเนี่ย" เราเองก็ไม่ได้ไปโรงเรียน เรียนเป็นเรื่องเป็นราว อาศัยดูหนัง ดูละคร แล้วเรียนเองจาก โปรแกรม Rosetta Stone เลยค่อยๆ เขยิบจาก 0 มาเป็น 3 ในเวลา 6เดือน :)

ตอนนี้อากาศหนาวมาก (หนาวสุด บางคืนก็ 8-9'C) ไอเราคนไทย เจอแค่ 15'C ก็ใส่รองเท้าบูธถึงหัวเข่า และสวมเสื้อ jacket อย่างหนาแล้ว แต่บางวันอากาศก็เพี้ยนจัด เช้ามา 15'C กลางวันแดดออก พุ่งไป 30'C พอเย็นหน่อย กลับมาเย็นอีก 20'C แล้วนี่จะแต่งตัวยังไงออกจากบ้านเนี่ย O.o" งงนะ

ส่วนเรื่องอาหารการกิน ถือว่าสมบูรณ์มาก เพราะเครื่องปรุุงหลักของไทยมีให้ซื้อมากมาย เผลอๆ ที่เราซื้อมาแล้ว จะเยอะเกินไปด้วย ที่คิดถึงมากที่สุดน่าจะเป็นอาหารที่ทำยากๆ พวกต้มเลือดหมู หรือเย็นตาโฟ (อยู่ไทยไม่เคยทำนะ ซื้อกินง่ายกว่า ถูกด้วย) ใครจะไปคิดว่าวันนึงจะอยากกิน แล้วต้องหาวิธีทำเอง -*-

สรุปเมนูที่กินบ่อยๆ กินแล้วกินอีก และไม่เบื่อ ก็จะเป็น ต้มยำทั้งหลายแหล่ ยำ ลาบ ส้มตำ ผัดเผ็ด ผัดกะเพรา เมนูผัดๆ ทั้งหลาย ต้มจับฉ่าย แกงกะทิทั้งหลาย (พึ่งเครื่องแกง) และน้ำพริกกะปิ.. เมนูหลังนี่ ทำกินตอนกาเบรียลไม่อยู่เท่านั้น เพราะคุณสามีไม่สามารถทนกลิ่นหอม อันรุนแรงได้ ฮะๆๆ

ถ้าถามว่าคิดถึงบ้านรึปล่าว ก็จะบอกว่าคิดถึงครอบครัว พ่อแม่ มะตูม มะเหมี่ยว แต่ก็ไม่ถึงขนาด homesick เพราะโทรศัพท์หากันแทบทุกวัน.. บางครั้งโทรฯ จนแม่รับแล้วพูดว่า "ว่าไงลูก... มีอะไรรึปล่าว" ฮึมมมมมม! สงสัยจะโทรฯบ่อยไป เลยเว้นระยะ 2-3 วันโทรฯที ที่จริงทุกครั้งที่โทร ก็คุยไม่เกิน 5นาที เพราะแม่ติดละครเกาหลี หรือไม่ก็กินข้าวอยู่ ^^'

แต่ที่จะคิดถึงมากที่สุด ก็คือความสะดวกสบายในการกิน การอยู่ที่บ้านเรา เพราะอยู่เมืองไทย เดินไป 100 เมตร ก็ถึงเพิงส้มตำ นั่งสองแถวไป 7บาท ก็ถึงตลาดนัดอันใหญ่โต หรืออยากดูหนัง ราคาตั๋วอย่างมากก็ 180 บาท จะไปไหนมาไหน รถตู้ รถเมย์ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ มีให้เลือกมากมาย แล้วราคาก็ไม่แพง

ที่บราซิล จะกินอะไรนอกบ้านที.. คิดที่1. ถ้าจะกินข้าว หรือไปไหนนอกบ้าน ค่า taxi เท่าไหร่ (ต่ำๆ ก็ 15R$ = 300THB) เดินไปได้มั๊ย ถ้าเดินไปไม่เกิน 30นาที เออ.. เดินดีกว่า คิดที่2. ร้านอาหารที่จะไปกินเท่าไหร่ บัฟเฟห์ราคานี้ คุ้มมั๊ย (ปกติ ราวๆ 35-50R$ = 700-1,000 THB) หรือกินแบบชั่งกิโล ก็จะถูกหน่อย (ตกมื้อละ 15R$ = 300 THB) คิดที่3. จะไปดูหนัง ราคาปกติจะอยู่ที่ประมาณ 30R$ = 600THB (แพงเหลือเกิน) วันพุธถูกกว่า (23R$ = 460THB) งั้นรอไปวันพุธ เฮ้อ.. คิดถึงเมืองไทยจริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

One Fine Day :)

This Sunday, Gabriel and I went to Japanese area as I run out of Fish sauce :) It was a very fine sunny day and we spent some 2hrs walking around and eating Japanese street food. Gabriel also had Pastel at the best pastel restaurant in São Paulo. Hope you enjoy some photos I quickly took today :)

วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Thai ingredients :D

Since I arrived in Brazil, I cook almost every day, and all I cook is Thai dish :) I'm so happy that Gabriel loves Thai food and that's one of the reason that I allow myself to cook.

From my previous visiting toBrazil, I knew that I could fine some Thai ingredients and products in Japanese area, so I was not so worry.

Surprisingly, I found more things that I didn't expect to find here which is Shrimp paste or "Ka-pi" and Oyster sauce or "Nam-man-hoy":P To be honest, Gabriel is not so happy with Ka-pi as the smell is really strong and bad (for him) :P Every time I want to cook the dish by using Ka-pi, I prefer to do when Gabriel is not home.

My very first Thai friend

On 30th December 2010, Gabriel and I traveled to Rio de Janeiro for celebrating New Year with family and friends. Before that, I found out that there is one Thai lady living in Rio, and I knew that I really have to meet her.

After New Year, I spent another week in Rio before came back to São Paulo, and I had chance to meet Thai lady and she cooked a very big meal to welcome me :D Thanks a lot naka P'Nim. Even we live in a different city, but I feel more happier just to know that there's Thai person in this big country; Brazil.

Unfortunately, I didn't take any photo with her as we enjoyed talking and eating a lot. I knew that there's always next time :)