วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ตอน....พ่อแม่ไม่สั่งสอน


ไม่ได้เขียนบล็อกนานมากกกกกกก ก.ไก่ล้านตัว เพราะ 2ปีมานี้ ไม่ค่อยจะมีเวลาว่างจากการเรียน และทำงานเลย จริงๆ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่เพิร์ธ อยากเขียนหลายอย่างมาก เพราะมีเรื่องราวมากมาย ที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น ไม่มากก็น้อย แต่ขอแซงเรื่องอื่นๆ ด้วยเรื่องนี้ก่อนแล้วกัน

วันนี้เราได้คุยกับเพื่อนสนิทคนนึง แล้วเราสองคนก็วนมาเข้าเรื่องที่ว่า ทำไมตอนเราเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ถึงใช้คำว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน เวลาที่เราทำสิ่งไม่ถูกต้อง หรือสมควร ซึ่งพอเราโตมาเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว เราได้ประสพพบเจอ ผู้คนมากมาย หลากหลาย ต่างเพศ ต่างอายุ ต่างสัญชาติ ต่างวัฒนธรรม จนทำให้เรากลับมาคิดถึงประโยคนี้ ว่าคนคนนึง ที่โตขึ้นมา มีนิสัย ความคิด บุคลิค ที่เป็นอยู่นี้ มันเกี่ยวกับการสั่งสอนของพ่อแม่ไหม

เราเลยนึกถึงเรื่องง่ายๆ ที่อยากจะเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องที่เราพบเจอมาตลอด 2ปีที่อยู่ที่นี่ และคิดว่ามันขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่อย่างชัดเจน เราทำงานคาเฟ่ร้านนึง เป็นพนักงานทั่วไป ทั้งรับออเดอร์จากลูกค้า และเสิร์ฟอาหาร พ่อแม่ที่มีลูกเล็กมาด้วย แทบทุกคน จะบอกให้ลูกพูดขอบคุณทุกครั้ง ที่พนักงานเสิร์ฟ นำอาหารหรือเครื่องดื่มไปเสิร์ฟให้ พอเราวางอาหารลงบนโต๊ะ ถ้าเป็นของผู้ใหญ่ ทุกคนจะพูด Thank you แต่ถ้าเป็นของเด็กน้อย ไม่เกิน 5ขวบ พ่อแม่จะหันไปหาลูก และถามว่า What do you say to the lady? แล้วเด็กน้อยก็จะหันมาหาเราและพูดว่า Thank you

เคยมีเด็กโตขึ้นมาหน่อย น่าจะสัก 7ขวบ ตัวสูงกว่าเค้าเตอร์นิดเดียว เดินมาสั่งอาหารที่เค้าเตอร์ เด็กชายส่งเสียงมา Excuse me, can I have milkshake please? แว้บแรกที่เรารู้สึกทำไมเด็กคนนี้มารยาทดีจัง เรารับเงินมา ยื่นเงินทอน พูดขอบคุณ แล้วเด็กชายก็ขอบคุณเรา คือมันดีนะ ชัดเจนว่าเด็กน้อยได้รับการอบรมจากพ่อแม่ อย่างน้อยๆ ก็เรื่องมารยาททางสังคม ซึ่งมันสำคัญมากในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น

อีกเหตุการณ์หนึ่ง คือพ่อแม่ต่อแถวรอสั่งอาหาร ลูกน้อยเริ่มเกะกะ วิ่งมาเอื้อมมือหยิบของที่เค้าเตอร์ แม่รีบตามมาทันที คว้ามือลูก และบอกว่า No! Stop it! What did I tell you before about do not touch things? ลูกน้อยก้มหน้าเดินตามมารอที่เดิม เราแอบตกใจ แต่ก็ชัดเจนว่าพ่อแม่มีวิธีจัดการกับเด็กในที่สาธารณะ ซึ่งเคยบอกเคยสอนมาตลอดอยู่แล้ว ลูกถึงนิ่งไป และทำตาม

เรื่องการต่อคิวนี่ไม่ต้องพูดถึง จะเด็กหรือ จะแก่ เค้าก็ต่อคิวกันทั้งนั้น ถ้าไม่มีคิว แต่มีคนยืนอยู่ใกล้ๆ เค้าเตอร์ คนที่เดินเข้ามาใหม่ ก็จะสะกิดถามคนที่ยืนอยู่ว่า คุณรอคิวอยู่หรือเปล่า น้อยมาก ที่จะมีคนเดินเข้ามาแบบไม่สนใจใคร เว้นแต่ถ้าเป็นคนพิการ เข้ามาเองด้วย wheelchair หรือคนท้องแก่ บางครั้งถ้าร้านไม่ยุ่งมาก คิวไม่ยาวเท่าไหร่ แล้วลูกค้าคนอื่นๆ ที่ต่อคิวเห็น ก็จะให้คิวคนพิการ และคนท้องแก่ก่อน

ตามความเข้าใจของเรา เราว่านี่แหละคือหนึ่งในการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ เอาแค่เรื่องพื้นฐาน ที่ใครทำอะไรให้เรา ไม่ว่าจะโดยหน้าที่ หรือความเต็มใจของคนคนนั้นเอง เราทุกคนควรมีความรู้สึกขอบคุณ ให้คนคนนั้น เรื่องเล็กน้อยนี้เอง ที่ทำให้คนมีความสุขในทุกๆ วัน ทุกวันนี้ เราขอบคุณคนขับรถบัสทุกวันก่อนลงจากป้าย คนขับก็ตอบกลับด้วยถ้อยคำสุภาพ แถมรอยยิ้ม  :)

เราว่าเราเข้าใจแล้ว ว่าทำไม ผู้ใหญ่ถึงมักจะใช้คำว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน สถาบันครอบครัว เป็นสถาบันแรกที่มีส่วนในการปลูกฝังเด็กอย่างมาก ให้โตมามีนิสัย และมารยาทที่ดี ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เพราะเรื่องมารยาท หรือนิสัยของความเกรงใจ หรือการมีความรู้สึกขอบคุณผู้อื่น มันสอนกันตอนโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ได้ จะให้สอนกันยังไง..... เคยคิดนะ แต่มันทำไม่ได้ ก็พ่อแม่เค้าไม่ได้สอนมา เราเป็นใครจะไปสอนเค้า... เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะคุณตำรวจ! 5555 จบค่ะ :)

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

Countdown.... นับถอยหลัง

I have been living in São Paulo, Brasil for 3 years, and now I'm spending the last quater. To be honest, I feel happy but sad at the same time. Brasil is a beautiful country, even I have only visited few cities where I gained good experiences.

I know that some people might have bad experiences either with people or places, luckily I have none of those :-) In my opinion, bad or good, it depends on you. If you happen to live in a place that you don't like or you have to face many dificulties, you have to deal with it. As you can't change the circumstance, what you can do is "adapt and adjust" yourself. Yes, that is what I do :-)

I must say that my first year here was difficult in term of language and culture, but once I opened my heart and learnt about it, I'm more happy to be here. I have good husband who loves me, I have good friends who keep me company when I miss my country. I live in a nice apartment, eat good food, and sleep tight .. what can be better?? ;-)

I will not deny that I'm happy to leave Brasil, but I will not deny neither that I will be sad and miss this country very much ;-) Eu gostou de Brasil e vou sentir saudades

พอจะต้องจากประเทศนี้ไปแล้วใจหายเหมือนกันนะ เราอยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว และตอนนี้ก็เหลืออีกแค่ไม่กี่เดือนก่อนที่จะย้ายไป ที่จริงดีใจนะ แต่ก็เศร้าในเวลาเดียวกัน :') บราซิลเป็นประเทศที่สวยนะ ถึงเราจะไปเที่ยวมาแค่ไม่กี่เมือง แต่ก็ชอบทุกเมืองที่ไป

ถึงจะรู้ว่าบางคนอาจจะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีในประเทศนี้ ไม่ว่าจะกับคนที่นี่ หรือสถานที่ แต่เราก็โชคดีที่ไม่มีปัญหาเหล่านั้น เราคิดว่าจะดีหรือร้าย มันก็อยู่ที่ตัวเราทั้งนั้น พูดง่ายๆ ถ้าคุณต้องไปต่างประเทศ และเป็นประเทศที่คุณไม่ชอบ หรือเป็นประเทศที่มีปัญหา มีความลำบากมากมาย สิ่งที่คุณทำได้ก็คือจัดการกับมัน ก็ในเมื่อคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม คุณก็คงจะทำได้แค่ เปลี่ยน และปรับตัวคุณเอง... นั่นแหละที่เราทำมาตลอด :-)

พูดตรงๆ ปีแรกที่มาอยู่นี่ เราลำบากนะ ภาษาก็ไม่ได้ พูดอะไรกันฟังไม่ออก วัฒนธรรมก็ไม่เหมือนกัน เจอกันทีไร ทั้งกอด ทั้งคิส -*- แต่หลังจากที่เราลองเปิดใจ ได้เรียนภาษาเค้าอย่างจริงจัง ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของเค้า เราก็เริ่มมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่ มีสามีที่ดี และรักเรา มีเพื่อนที่ดี ที่คอยพูดคุย อยู่เป็นเพื่อนกัน เวลาที่เราคิดถึงบ้าน เราอยู่ในอพาร์ทเม้นที่สะดวกสบาย กินอาหารดีๆ นอนหลับเต็มอิ่ม แล้วจะมีอะไรดีไปกว่านี้? :-)

เราไม่ปฏิเสธเลยว่าเราดีใจมาก ที่จะได้ย้ายไปจากประเทศนี้ แต่ก็จะไม่ปฏเสธ ว่าเราคงเศร้า และคิดถึงบราซิลมากเหมือนกัน

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

My life in 2013 ปีใหม่แล้ว ขอเขียนถึงปีเก่าสักหน่อย :)

พอมาย้อนดูบล็อคตัวเอง.. โห.... ไม่ได้เขียนมา 1ปีเต็มๆ อาจจะเป็นเพราะไม่มีอะไรตื่นเต้น หรือสิ่งใหม่ๆให้เขียน หรือมีเรื่องให้ทำตลอด เลยไม่มีเวลาจะเขียน... พอนึกออก เลยขอเขียนสักหน่อย :)

การใช้ชีวิตที่นี่ กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับเรา ไม่ทุกข์ ไม่ลำบาก ไม่ติดขัดอะไรเลย มีความสุข ตามประสาคนไกลบ้าน ที่มีเพียงสามีเป็นคนในครอบครัว พอผ่านปีแรกมาได้ เราเริ่มมีเพื่อนที่ดี ไปไหนมาไหนด้วยกัน พบปะพูดคุย สังสรรค์ ให้ได้คลายเหงาบ้าง รู้สึกว่าตัวเองโชคดีนะ ที่ได้มีมิตรดีๆ ในต่างแดนแบบนี้

เราได้มีเพื่อนบราซิลเลี่ยนดีๆ มีน้ำใจ จำนวนนึง ซึ่งทำให้เราคิดว่า คนที่นี่ ก็มีส่วนคล้ายคนไทย ที่เป็นมิตร และมีน้ำใจ และเราก็ได้รู้จักเพื่อนๆ คนไทย ที่เป็นคนดี ทีมีน้ำใจ จำนวนหนึ่งเช่นกัน ถึงจะไม่เยอะ แต่เราก็รู้สึกโชคดี ที่ได้มาเจอคนเหล่านี้ เพราะเค้า เป็นกลุ่มคนจำนวนน้อยๆ ที่ทำให้เรามีความสุข ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ ส่วนใครที่ไม่ชอบ ไม่พอใจอะไรเรา ถ้าไม่กล้าพูดกันต่อหน้า ก็ขออภัย ที่เคยล่วงเกิน หรือพูดอะไรให้ได้ขุ่นข้อง หมองใจ ก็อโหสิกรรมให้ด้วย (จะได้ไม่ต้องเจอกันอีก) เพราะเราไม่ใช่หมอดู หมอเดา ถึงจะรู้ว่าใครคิดอะไร ถ้าไม่อยากรู้จักเป็นเพื่อนกัน ไม่ยินดีจะคบ ก็ขอบคุณที่ผ่านมา และผ่านไปนะคะ :)

พูดถึงปี 2013 ที่ผ่านมา เราได้กลับบ้านที่เมืองไทย :D ได้จัดงานแต่งงานพร้อมกับน้องสาว ได้เจอครอบครัวที่คิดถึงมากๆ และได้เจอเพื่อนๆ ที่รักกันเสมอ แม้จะไม่ได้คุย หรือเจอกันบ่อยๆ พอได้กลับบ้าน เหมือนได้กลับไปชาร์จพลัง ในการใช้ชีวิต เหมือนไปเติมความรัก ความสุข ความอบอุ่นจากคนที่เรารัก พอกลับมาถึงบราซิล มีเพื่อนหลายคนทักว่า เราดูมีความสุข ดูสดชื่นขึ้น :) สงสัยเป็นเพราะได้รับความสุขจากประเทศไทยเป็นแน่

เมื่อกลับมาถึงบราซิล ความคิดดีๆ ไอเดียดีๆ ความคิดบวกในการใช้ชีวิตก็กลับมา เรากับกาเบรียลคุยกัน แล้วก็มาคิดว่า เราควรจะวางแผนอนาคตเรานะ ว่าเราจะทำอะไรต่อไป... เราไม่อยากอยู่บราซิลแล้ว และในเมื่อเรามีเงินเก็บมากพอ เราก็ควรจะมองหาสิ่งใหม่ ที่ดี สำหรับเราสองคน จริงอยู่ว่า การกระทำทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง แต่การอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ดังนั้น.... เราสองคนจึงได้ตัดสินใจไปออสเตรเลีย!! พอตั้งเป้าหมายแล้ว รายละเอียดก็ตามมาเป็นขั้น เป็นตอนต่อไป :)

ปีที่แล้ว เราได้ไปทำงานล่าม ให้กับทางศาลบราซิล ประมาณ 4-5ครั้ง จากความไม่เคยชิน ตื่นเต้นตอนขึ้นศาลครั้งแรก กลายเป็นรู้สึกเฉยๆ แต่เสียใจทุกครั้งที่ต้องไปทำ เพราะคิดในใจว่า "อีกแล้วหรอ" แต่ก็เต็มใจไปทำนะ เพราะอยากช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน มาถูกจับต่างบ้านต่างเมือง แถมเป็นประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษอีก ถ้าไม่ช่วยเค้า แล้วศาลจะตัดสินคดียังไง ไม่ต้องขังรอไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหาล่ามได้หรอ ในเมื่อค่าจ้างก็มีให้ (ปัจจุบันยังไม่ได้.... รอไปยาวๆ ^^) ก็ช่วยกันเหอะ แต่จริงๆ อยากจะตะโกนดังๆ บอกไปยังสาวๆ ไทย ว่าถ้ามีคน (ส่วนมากเป็นคนแอฟริกัน) ชวนมาทำงานที่บราซิล หรือชวนมาขนยาตรงๆ อย่าเชื่อ และอย่ามาเด็ดขาด!! ไม่รอดแน่ๆ :(

รู้สึกปีที่แล้วผ่านไปเร็วม้ากกกกก อาจจะเป็นเพราะกลับไทย เดือนครึ่ง พอกลับมาบราซิล ก็หาคอร์สเรียนป.โท ที่เมืองอะไร มหาวิทยาลัยไหน ค่าเรียนเท่าไหร่ และหาข้อมูลการใช้ชีวิตต่างๆ ในแดนจิงโจ้ เผลอแป๊บเดียว สิ้นปีแล้ว เร็วจริงๆ :D ปีเก่าผ่านไป มีเรื่องดีปนร้าย เป็นเรื่องธรรมดา ส่วนปีใหม่ 2014 ก็หวังว่าทุกอย่าง จะเป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ สาธุ!!!!

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

2 ปีในบราซิล


กำลังจะครบ 2ปีที่เรามาอยู่บราซิล แล้วหรอเนี่ย.. เวลามันช่างผ่านไปไวจริงๆ :)

จำได้ตอนมาถึงใหม่ๆ พูดกับใครก็ไม่รู้เรื่อง เริ่มตั้งแต่จำตัวเลข และการถามราคา แต่เมื่อถามไป ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเวลาเค้าตอบกลับมา เราไม่เข้าใจเลย นึกแล้วก็ขำดี :) ผ่านมาจะครบ 2ปี ก็สื่อสาร พูดคุย ในชีวิตประจำวันรู้เรื่อง ไปไหนมาไหน ด้วยตัวเองได้ แถมเวลามีคนมาถามทาง หรือถามเรื่องเบอร์รถประจำทาง เรายังช่วยบอกเค้าได้ด้วย 

คิดเสมอว่าตัวเองพูดไม่เก่ง เพราะคิดว่ายังฝึกฝน และตั้งใจไม่พอ แต่พอถึงสถานการณ์จริง ที่เราต้องใช้ เรากลับใช้ได้ อย่างไม่เขินอาย มีคิดนานบ้าง นึกไม่ออกบ้าง แต่คนที่นี่ ก็ตั้งใจ และพยายามเข้าใจเรา ไม่รู้นะ เราอยู่ของเราได้ มีความสุขดี อาจจะเป็นเพราะ เลือกจะมองส่วนดีๆ ของที่นี่ มากกว่าส่วนที่ไม่ดี นั่นเอง :)

การมาอยู่ในต่างที่ต่างแดน มีครอบครัวเป็นของตัวเอง ก็ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ทั้งสิ่งแวดล้อมใหม่ วัฒนธรรมใหม่ มุมมองใหม่ๆ จะบอกว่าทำให้เราโต และเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ก็คงใช่ จะบอกว่าทำให้มุมมอง ทัศนคติในการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป ก็คงใช่ อีกเช่นกัน

เราได้พบ ได้เจอ ผู้คนมากมาย ทั้งตั้งใจ และไม่ตั้งใจ ทำให้คิดได้ว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ถ้าคนมันจะได้เจอ ได้รู้จักกัน ก็คงจะหนีกันไม่พ้น จะเรียกได้ว่ามี "กรรม" ต่อกันก็เป็นได้ แต่จะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่ว ก็แล้วแต่จะมองกันไป 

บางคนผ่านมา ได้รู้จัก ได้ชอบพอ ได้ช่วยเหลือ แล้วก็จากไป แบบทั้งมีเหตุผล และไม่มีเหตุผล เมื่อก่อนเคยคิดว่า ทำไม เค้าต้องเป็นแบบนี้ ทำไมเค้าต้องทำอย่างนั้น ทำไม ทำไม เต็มหัวไปหมด แต่ในเมื่อตัวเราไม่สามารถหาคำตอบ หรือไปตอบแทนใครได้ ก็หันมาคิดว่า จะอยากรู้ไปทำไม ในเมื่อแต่ละคน มีชีวิตของตัวเอง ที่ไม่จำเป็นต้องไปเชื่อมโยง ยึดติดกับคนอื่น จะเรา หรือเค้า ไม่ว่าจะคิด จะทำอะไร ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ของแต่ละคน 

ที่พูดมาทั้งหมดก็คือ อยากจะบอกว่า ในการมาอยู่ต่างบ้าน ต่างเมือง และการรู้จักมิตรที่ดี เป็นสิ่งที่ดีต่อตัวเราเสมอ แล้วแต่ว่าแต่ละคน จะมอง จะคิดอย่างไร โดยส่วนตัวแล้ว เป็นคนคิดบวก เพราะมันทำให้เรามีความสุข และสามารถจัดการกับเรื่องราวต่างๆ ได้ สิ่งที่อยากบอกอีกอย่างหนึ่งคือ ในการอยู่ต่างที่ ต่างถิ่น กัลยาณมิตร สำคัญที่สุด เราโชคดีแล้ว ที่มีคู่ครอง เป็นกัลยาณมิตรที่ดีที่สุด ส่วนกัลยาณมิตรคนอื่นๆ ที่ได้รู้จักพบเจอ เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง ก็คือสิ่งที่โชคดี เป็นขั้นที่สอง รองจากคู่ครอง 

ดีใจที่ได้มีคู่ครองที่ดี หนักนิด เบาหน่อย ก็พูดคุย และให้อภัยซึ่งกันและกัน เวลามีสุข ก็สุขด้วยกัน รวมถึงในยามทุกข์ใจ ก็ปลอบใจ ให้กำลังใจกัน ถึงขนาดร้องไห้ไปด้วยกันก็ทำมาแล้ว อีกทั้ง ยังช่วยเหลือ สนับสนุน และดูแลเราเป็นอย่างดี แค่นี้แหละที่ต้องการ ในยามไกลบ้าน ต่างเมือง มีแค่คนเดียวที่เข้าใจเราก็ดีที่่สุดแล้ว

ดีใจที่ได้รู้จัก และเป็นเพื่อนกับทุกคนที่บราซิล ไม่ว่าจะมีเรื่องดีบ้าง ไม่ดีบ้างคละเคล้ากันไป แต่ก็ขอบคุณทุกๆ คนที่ได้รู้จักที่นี่ เพราะทุกคนที่ได้รู้จัก ได้สอนอะไรหลายอย่างให้กับตัวเรา ไม่มาก ก็น้อย ทำให้เรามีทัศนคติที่เปลี่ยนไป และมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม ขอบคุณค่ะ :)




วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Update

ฮัลโหลบล็อคของฉัน หายไปนานมาก เพราะไม่ค่อยมีอะไรสนุกๆ มาเล่าให้ฟังเลย ทุกวันก็เหมือนเดิม คือตื่นนอน เตรียมอาหารเช้า คุยกับที่บ้าน อาบน้ำ ทำความสะอาดบ้าน ไปฟิตเนส และ ออกไปพบปะ พี่ๆ คนไทย บ้าง.. แต่บางทีก็บ่อย ฮะๆๆ

เผลอแป็บเดียว นี่ก็เดินตุลาคมแล้ว นั่งนับวันรอ เมื่อไหร่จะถึงเดือนมีนาคม น้อออ จะได้กลับบ้านสักที ตั้งใจจะอยู่ให้ถึงสงกรานต์ เพราะเป็นเทศกาลที่อยากอยู่กับครอบครัว ไปเจอคุณตาคุณยาย รดน้ำดำหัว และทานข้าวด้วยกัน

อยากไปเที่ยวทั้งภาคตะวันออก เหนือ และใต้ คิดถึงเมืองไทย สถานที่สวยๆ อาหารอร่อยๆ เพื่อนดีๆ ที่แม้มีอยู่น้อย ก็ดีกว่าไม่มีเลย ฮะๆๆ อยากซื้อของสวยๆ คุณภาพดีๆ ราคาย่อมเยา สงสัยต้องนั่งทำลิส รายการที่อยากกิน อยากซื้อไว้เนิ่นๆ กลับไปจะได้จัดให้ครบถ้วน :)

มาอยู่เซาเปาโล จะได้ 2ปีแล้ว ไม่รู้สึกว่าไม่ชอบนะ มีเบื่อบ้าง บางครั้ง แต่ไม่ทุกข์ ถามว่าชอบมั๊ย ก็ชอบนะ ไปไหนมาไหนเองได้ พูดคุย สื่อสารรู้เรื่อง ไม่เคยโดนทำร้าย หรือวิ่งราวใดๆ (มีแค่เกือบๆ ฮะๆๆ) คือมีความรู้สึกว่า อยู่ที่ไหน ก็มีอันตรายทั้งนั้น ถ้าผิดที่ ผิดเวลา

เราอยู่ย่านธุรกิจ ติดอันดับแหล่งน่าอยู่อาศัย ด้วยมั๊ง เลยมีความสุขสบายดี เดินไปทางไหน ก็มีแต่คนทำงาน แต่งตัวสวยๆ ถือกระเป๋าแพงๆ เออ... ก็ไม่เห็นจะอันตรายอย่างที่ใครเค้าว่า ส่วนเรื่องน่าเบื่อ ก็อาจจะมีแค่ ไม่ค่อยมีอะไรทำ นอกจาก ช็อปปิ้ง กินข้าวนอกบ้าน และไปสวนสาธารณะ แต่เราก็ไม่เบื่อนะ อยู่บ้านใช้อินเตอร์เน็ท ก็ปาไปครึ่งวันแล้ว ฮะๆๆ

ข้าวของที่นี่มันแพงเหลือหลาย เราก็ไม่ได้ซื้ออะไรเท่าไหร่ ส่วนมากก็ซื้อแต่ของที่จำเป็น มาอยู่ที่นี่ แทบจะนับชิ้นได้ ว่าซื้ออะไรไปบ้าง (ไม่รวมของฝากที่บ้านนะ เพราะซื้อบ่อยมาก ฮะๆๆ) พอไม่ได้ทำงาน หาเงินเองแล้ว ก็เกิดความเกรงใจสามี ในการใช้เงินสุรุ่ยสุุร่าย เพราะตอนนี้ เรามี 2คนนะ ต้องอยู่ด้วยกัน คิดด้วยกัน พอแต่งงานมีครอบครัวแล้ว รู้เลยว่า คู่สามีภรรยา ควรมีความเกรงใจกันและกันนะ แล้วจะอยู่กันได้แบบมีความสุข :)

โอเค.. พอละ ไม่มีอะไรสนุกๆ ขำๆ เลยวันนี้ นั่งนับวันรอกลับเมืองไทย กันต่อไป..... 

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คนมีงานทำ

ช่วงเดือน 2เดือนที่ผ่านมานี้ มีโอกาสได้ทำงาน เลยได้หายเบื่อไปบ้าง และยังรู้สึกกระตือรือร้น ไม่ขี้เกียจเหมือนที่เคยรู้สึกเป็นประจำ ตามประสาคนเป็นแม่บ้าน ที่มีงานบ้านให้ทำไม่มาก :D

งานแรก เป็นงานเมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา งานใหญ่ งานช้าง ของประเทศบราซิล ที่มีโอกาสจัดประชุม Rio+20 เกี่ยวกับ "การพัฒนาที่ยั่งยืน" ที่ได้ทำงานนี้ ก็เพราะเพื่อนร่วมงานเก่าที่ UNEP ติดต่อมา เนื่องจากเค้าไม่สามารถบินมางานนี้ได้ ด้วยปัญหาเรื่อง ระยะเวลา และแน่นนอน งบประมาณ

เราเลยต้องบินไปทำงานนี้ที่ Rio อยุ่ 4วัน โชคดีมาก ที่คุณพ่อสามี ผู้ใจดี ขับรถไปส่งทุกวัน เนื่องจากใกล้บ้าน เราเลยไม่ต้องลำบากเท่าไหร่ โชคดีชั้นที่2 คือคุณแม่สามี ต้องเข้าร่วมงานประชุมนี้ด้วย เนื่องจากคุณแม่ ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม เราเลยมีเพื่อนไปด้วย เป็นบางวัน

แล้วงานก็ผ่านไป พร้อมกับบรรยากาศ อันวุ่นวาย สับสน ทั้งเรื่องป้าย ที่เป็นภาษาโปรตุกีส และ เรื่องระบบทำบัตร อันสับสน ฮะๆๆ ทำให้เราได้เห็นเจ้าหน้าที่ UN หรือที่เราเรียก สหประชาชาติ นั่งตามพื้นกันมากมาย โอว... นี่แค่งานประชุมที่มีเข้าประชุมเบาๆ หลักหมื่น... แล้วบอลโลกในอีก 2ปีข้างหน้า จะเป็นยังไงเนี่ย ^^"

อีกงานนึงที่กำลังทำอยู่ คือ คุณครูสอนภาษาไทย :D ตอนแรกก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ คลาสแรกประหม่ามาก เพราะต้องสอนนักเรียนออซซี่ ที่เป็นพนักงานกงสุล และกำลังจะถูกย้ายไปประจำที่ประเทศไทย พอได้สอนจริงๆ ก็ สนุกดีนะ แต่ก็คงสอนถึงต้นเดือนหน้า เพราะเค้าต้องย้ายไปเร็ววๆ นี้ อย่างน้อยๆ ก็าอนให้พูดได้ว่า "สวัสดีครับ สบายดีไหม" "ขอโทษครับ ผมไม่เข้าใจ" ฮะๆๆ

ช่วงนี้ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองไม่ขี้เกียจเท่าไหร่ และใช้เวลาอย่างเป็นระเบียบมากขึ้น กี่โมงไปทำงาน กี่โมงทำงานบ้าน กี่โมงทำอาหาร กี่โมงไปจ่ายตลาด กี่โมงเล่นคอมฯ กี่โมงดูละคร (อันนี้ไม่มีพลาด) และเมื่ออยู่ไม่ค่อยว่างแล้ว ก็ทำให้เวลาเดินเร็วขึ้น อยากกลับไทยเร็วๆ จัง อีก 7เดือนเอง!! นั่งร้องเพลงรอต่อไป :))

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

วางแผน

การมาอยู่ต่างบ้าน ต่างเมือง ก็ดีไปอีกอย่าง ชีวิตมีระบบ ระเบียบ และมีแผนการ มากขึ้น เนื่องจากไม่ใช่บ้านเมืองเรา จะไปไหน มาไหน ทำอะไร ก็ต้องคิดหน้า คิดหลัง คำนวณเวลา การเดินทาง และงบประมาณ ต่างๆ มากมาย (เอ.. หรือคนอื่นเค้าทำกันนานแล้วหว่า เราอยู่บ้าน อยู่เมืองไทย ไม่เคยทำ ^^" ยกเว้นทำงาน) ที่จั่วหัว เรื่องใหม่นี้ว่า "วางแผน" ก็เพราะว่าต้นปี เป็นเวลาที่ดี ในการคิด ตระเตรียม วางแผน ต่างๆ เพื่อนที่เราจะได้ทำในปีนี้

ปีนี้ อยากได้ อยากทำอะไรบ้าง ก็ คิดออกมาได้ ดังนี้ 1.อยากกลับบ้าน 2.อยากได้วีซ่า 3.อยากทำอาหารเก่งๆ 4.อยากพูดโปรตุกีสได้คล่องขึ้น 5.อยากรักษาศีล5ให้ได้ >> อันที่จริงก็มีไม่มาก แต่ทำยากทุกอัน - -"

ข้อแรก อยากกลับบ้าน จุดประสงค์ แบ่งออกเป็น สองข้อใหญ่ๆ คือ 1.กลับไปเยี่ยมครอบครัว เพื่อนฝูง และทำเอกสารเรื่อง (เปลี่ยนแปลงสถานภาพให้ถูกต้อง) 2.กลับไปจัดงานเลี้ยงแต่งงาน เพราะยังไม่ได้จัดงานที่ไทย ที่บอกว่าทำยาก เพราะ ปัจจัยแรก คือเงิน ถามว่ามีเงินมั๊ย ก็มี แต่ต้องคิดให้ดีว่า จะเดินทางยังไง ไม่ให้เสียเที่ยว ไปๆ มาๆ 2คน ก็แสนนึงแล้ว.. จะกลายเป็นแสนสาหัส ถ้าเดินทางหลายรอบ ^^" เลยได้ความคิดว่า จะรวบยอด จากจะกลับไปหาที่บ้านสิ้นปีนี้ เลยคิดว่าจัดงานเลี้ยงแต่งงานเดือนมกราคม ปีหน้า ก็น่าจะโอเค ไปทีเดียวไปเลย

ข้อสอง อันนี้ ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอไปเรื่อยๆ ถามว่ามีปัญหาอะไรมั๊ย ก็ไม่มีนะ แค่นอยๆ เวลาเห็นเพื่อนๆ คนอื่น เค้าได้กันแล้ว :P แต่อย่างว่า ต่างเมือง ก็อาจจะต่างกัน แถมระบบราชการเค้าก็ไม่ค่อยมาตรฐานเท่าไหร่ ก็คงต้องใช้ความอดทน รอกันต่อไป ไม่มีปัญหา แค่อยากบ่นเฉยๆ ฮะๆๆ :D

ข้อสาม ข้อนี้... คงต้องใช้เวลาฝึกฝน และเรียนรู้กันไป จากพี่ๆ และเพื่อนๆ คนไทย แล้วผลัดกันชิม สักวันนึง คงจะเก่งเอง ปัญหาที่มีคือ เราอยู่กัน 2คน จะทำอะไรเยอะแยะมากมาย ก็ไม่ได้ ต้องคิดกันสักหน่อยว่า ทำอะไร เก็บได้นานมั๊ย ไม่งั้น กินกัน 2คน คงอ้วนกลมกันใหญ่ อยากทำอะไรอีกตั้งเยอะ แต่บางทีก็ขี้เกียจ ^^" -ขนาดไม่ค่อยมีอะไรจะทำ ก็ยังขี้เกียจเนอะ :D

ข้อสี่ อันนี้ถือว่ายากมากกกกกกกกกกก ดูได้ จากการอยู่มา 1ปี เรียนมา เกือบ 70ชม. แล้ว แต่ก็ยังจำฟอร์ม ประโยคอดีต กับอนาคตไม่แม่น ได้แค่ปัจจุบัน และได้คำศัพท์ซะส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องผันคำกริยา เป็นรูปอื่น.. ลืมไปเลย ทำไม่ได้ค่าา >.< เพื่อนๆ อาจจะสงสัย ก็ทำไมกาเบรียลไม่ช่วยติว ขอบอกเลยว่า คุณสามีชอบพูดไทย ฮะๆๆ แต่เวลาทำการบ้าน ก็ช่วยนะ เราเองก็หัดพูดกับเค้า ผิดตลอด แต่เค้าก็ช่วยแก้ให้ หวังว่าปีนี้จะพูดดีขึ้น :)

ข้อห้า อืม.. ที่จริงก็พยายามทำมาตลอดนะ ทำดีในที่นี้คือ ทำความดี ละเว้นความชั่ว ตามศีลห้า นี่แหละ ทำไม่ง่ายนะ ลองมาคิดดู ทุกวัน เราไม่ได้อยู่คนเดียว แม้แต่สามี บางที พูดคุย ถกเถียงกัน ก็เกิดความคิดไม่ดีบ้างหละ คำพูดไม่ดีบ้างหละ นั่น ผิดศีลข้อ4 อีกแล้ว ฮะๆๆ แต่ก็สวดมนต์ทุกคืนก่อนนอน เริ่มมาเมื่อเดือนธันวาคม ถือว่าเป็น New Year resolutions แรก ที่ดี :)

เอาหละ วางแผนแล้ว ก็ต้องทำตามแผนให้ได้ ปีใหม่นี้ เดือนแรกเพิ่งเริ่ม ยังมีอีก 11 เดือนให้วางแผน คิด ทำ อีกเยอะ แล้วมารอดูกัน ถือคติ คิดดี ทำดี พูดดี ก็น่าจะช่วยให้แผนเราไปได้สวย ในขั้นต้น :)